บ้านหนองโก หมู่ที่
6 ตำบลดอนกอก อำเภอนาโพธิ์
จังหวัดบุรีรัมย์ มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และถ่ายทอดให้แก่ลูกหลาน จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะสตรีในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเรียนทอผ้าไหม
ในสมัยก่อนการทอผ้าไหมเป็นการทอสำหรับใช้เองในครัวเรือน นิยมสวมใส่เมื่อมีงานที่สำคัญ
เช่นงานแต่งงาน งานบวช
งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่
งานประเพณีในหมู่บ้าน/ตำบลจัดขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2530
มีชาวบ้านหนองโกได้เดินทางไปรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์จังหวัดสกลนคร
และนำผ้าไหมไปถวายด้วยพระองค์ทรงโปรดผ้าไหมทรงรับไว้ และชื่นชอบมาก
และทรงพระราชทานเงินให้เป็นค่าผ้าไหม
สร้างความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาหมู่บ้านหนองโก ได้คัดเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นสุภาพสตรี คือ นางนิสา
ประดา
เป็นผู้ที่มีฝีมือและทอผ้าไหม เป็นประจำ ได้ประชุมปรึกษาหารือกับชาวบ้าน
เพื่อรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มทอผ้าไหมขึ้น
ชื่อ “ กลุ่มทอผ้าไหมบ้านหนองโก” เริ่มแรกยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก จวบจนได้รับคำแนะนำปรึกษาจากสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอนาโพธิ์
มีการฝึกอบรมให้ความรู้การพัฒนาด้านการผลิต การบริหารจัดการกลุ่ม การส่งเสริมด้านการตลาด
ทำให้กลุ่มมีการพัฒนาผ้าไหมมัดหมี่ที่มีสีสัน ลวดลายสวยงาม
โดยที่ยังความเป็นผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมไว้ และพัฒนาลวดลายใหม่ให้เข้ากับสมัยใหม่
กลุ่มทอผ้าไหมบ้านหนองโก
หมู่ที่ 6 ตำบลดอนกอก
อำเภอนาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้พัฒนาผ้าไหมมัดหมี่ มาเป็นเวลา
23 ปี
สร้างชื่อเสี่ยงจนเป็นที่รู้จักด้านผ้าไหมมัดหมี่ที่มีความสวยงาม
ประณีตและเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขายให้กับโครงการศิลปาชีพสวนจิตลดา ลูกค้าคือบุคคลสำคัญความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าคือความสุขของ “
กลุ่มทอผ้าไหมบ้านหนองโก”
การเปลี่ยนแปลงของกิจการ
|
ความสำเร็จ / อุปสรรคที่ผ่านมา
|
- ในอดีตการทอผ้าไหมของจังหวัดบุรีรัมย์ยังได้รับการส่งเสริมจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุน มาให้คำแนะนำการทอผ้าไหม ประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2449 เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสด็จราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ด และตอนกลับได้ผ่านมาถึงเมือง พุทไธสง เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2450 ได้พบนายโยโกตา และนายอิสิตา ชาวญี่ปุนซึ่งเดินทางมาตั้งโรงเลี้ยงไหมที่บุรีรัมย์ ได้เลือกทำเลที่เลี้ยง ที่เมืองพุทไธสง และหาที่พักได้ในบริเวณห้องสมุดประชาชนเดิม(ปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนและสร้างเป็นโรงพยาบาลไปแล้ว)จุดที่ตั้งโรง เลี้ยงไหมก็คือบริเวณสวนหม่อนพุทไธสงในปัจจุบัน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการทอผ้า ดังปรากฏ ในหลักฐานจาก รายงานการตรวจราชการ ของพระพรหมภิบาล(ในสมัยรัชกาลที่ 5)ซึ่งไปตรวจราชการที่มณฑลนครราชสีมา(เมืองบุรีรัมย์ขึ้นกับมณฑลนครราชสีมาในสมัยนั้น)ได้กล่าวถึงสภาพการทำมาหากินของชาวบุรีรัมย์ และการทอผ้าพื้นเมืองไว้ดังนี้"บ้านทะเมนชัย....แขวงเมืองบุรีรัมย์.....เรือนราษฏรมีอยู่ประมาณ 120 หลังคาเศษ ราษฏร 700 คนเศษ มีวัดสองวัด พระสงฆ์จำพรรษาอยู่วัดละ 9-10 รูป ราษฏรเป็นลาว ประกอบอาชีพเพาะปลูก ทอหูกปั่นฝ้าย ทำไหม มะพร้าวเป็นพื้น... บ้านแขวงเมืองบุรีรัมย์..มีหลังคาเรือนอยู่ประมาณ 80 หลังเศษ ราษฏร 500 คนเศษเป็นเขมร ประกอบการเพาะปลูก ทอหูกปั่นฝ้าย ทำไหม มะพร้าวเป็นพื้น...บ้านทั้งหก(อยู่แขวงเมืองนางรอง)รวมหลังคาเรือนมีอยู่ประมาณ 230 หลังเศษราษฏร 800 คน พื้นดินเป็นดินปนทราย ต้นไม้มีมะพร้าว ขนุน ส้ม ต้นหม่อนเป็นพื้น เรือนเหล่านี้เสาไม้ เต็ง รัง ไม้ไผ่สับเป็นฟาก ฝากรุใบปรือ หลังคามุงหญ้าแฝก ราษฏรประกอบการเพาะปลูกทอหูก ปั่นฝ้าย ทำไหมขายรับพระราชทาน........จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าจังหวัดบุรีรัมย์ในอดีตมีการทอผ้าไหมโดยทั่วไป
- ปัจจุบันการทอผ้าไหมมีอยู่ทั่วไปทุกอำเภอแต่แหล่งทอผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือที่อำเภอนาโพธิ์ โดยเฉพาะที่บ้านโคกกุง มีศูนย์พัฒนาผ้าไหมและกลุ่มแม่บ้านเลี้ยงไหมนอกจากนี้ยังมีที่บ้านมะเฟือง อำเภอพุทไธสง ซึ่งทอผ้าไหมด้วยกี่ธรรมดาหรือกี่ชาวบ้าน การทอผ้าไหมที่อำเภอพุทไธสงและอำเภอนาโพธิ์ จะมีการทอผ้ามัดหมี่ลายพื้นเมืองดั้งเดิมและแบบลายประยุกต์ โดยเฉพาะผ้ามัดหมี่ตีนแดง ซึ่งเป็นผ้าไหมมัดหมี่ทอหัวซิ่นเป็นพื้นสีแดงไม่มีลวดลายส่วนลายตัวซิ่นนิยมใช้ลายฟันเลื่อย ลายนาค เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น